WordPress Themes: จะทำให้เว็บไซต์ของคุณดูดีขึ้น!
Theme สำหรับ WordPress สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณดูน่าเชื่อถือขึ้นโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งนักออกแบบมืออาชีพ โดยสามารถใช้แพลตฟอร์ม WordPress Content Management (CMS) โดยติดตั้งแล้วเริ่มใช้งานได้เลย แล้วจะเลือกแบบใดแบบหนึ่งจากตัวเลือกมากมายอย่างไรดี? ในบทความนี้มีคำตอบสำหรับคุณ
WordPress Theme จะมีทุกแบบและทุกขนาด ทั้ง แบบ Blog หรือ Magazine สำหรับเว็บไซต์บทความต่างๆ, แบบ Austere และ Minimalist สำหรับงานธุรกิจ, shop themes, edgy themes สำหรับงานสร้างสรรค์, และ Theme ที่ปรับแต่งให้เหมาะสำหรับทุกการใช้งาน
สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการเลือกนี่แหละ บางคนอาจจะคิดว่า เป็นไปได้ยากมากๆที่ต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากตัวเลือกมากมาย นั่นแสดงว่าคุณยังไม่เคยเลือกสิ่งที่ถูกใจได้สักที ฉะนั้นเรามาลองดูเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆที่จะช่วยในการเลือก WordPress Theme ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ของเรากัน
วิธีการเลือก
1. นึกถึงการใช้งาน
การเลือก Theme โดยเฉพาะในเชิงพาณิชย์ จำเป็นต้องบอกราคารวมถึงคุณสมบัติอย่างครอบคลุม จริงอยู่ว่าบาง Feature ก็ไม่ควรมองข้าม การตัดสินใจเลือก Theme จึงต้องมีคุณสมบัติต่างๆที่พร้อมการใช้งาน ซึ่งตอบสนองกับยุคสมัยและแสดงผลการใช้งานที่เหมาะสมบนโทรศัพท์มือถือด้วย อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติต่างๆควรแสดงส่วนสำคัญอย่างครบถ้วน โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องนำ eCommerce, 500Fonts (โปรแกรมสร้างตัวอักษรสำหรับออกแบบเว็บไซต์), เพิ่มแถบด้านข้างหลายๆอัน หรือนำข้อมูลใน Instagram มาตกแต่งเพิ่ม
สิ่งสำคัญในการสร้าง Theme คือ “ยิ่งน้อยยิ่งดี” ยิ่งถ้าคุณเป็นมือใหม่ในงาน WordPress การเลือก Theme ที่มีฟังก์ชั่นการใช้งานมากเกินไป ผลที่ได้ทำกับการฆ่าตัวตาย เพราะข้อมูลที่ไม่ต้องการจะปรากฏขึ้นมากมายจนเนื้อความสำคัญจมหายไป และยิ่งทำให้เป็นอุปสรรคมากกว่าตัวช่วย ฉะนั้น พยายามเลือก Theme ที่เหมาะและมีเฉพาะสิ่งที่ต้องการ ไม่ต้องซื้อหรือเลือกใช้ Theme ที่มีการใช้งานพิเศษๆอย่างไร้เหตุผล
2. พิจารณารายละเอียด
Theme บางตัวมีผลต่อการตัดสินใจเลือกด้วยรายละเอียดที่ปรากฏในหน้าดาวน์โหลด บางตัวมีคำอธิบายละเอียดและเขียนดี ในทางตรงข้าม บางตัวก็มีคำอธิบายไม่เพียงพอ
อย่างน้อยๆก็คุ้มค่าที่จะเสียเวลาตรวจสอบข้อความกำกับของ Theme ที่เราจะดึงมาใช้ รวมถึงข้อความสนับสนุนจากผู้ที่เคยใช้ Theme นี้มา ถ้าพลาดเลือก Theme ที่คำอธิบายและข้อความสนับสนุนออกมาไม่ดี การสร้าง WordPress site ก็ยากที่จะทำให้คนสนใจ
3. ดูว่าคู่แข่งคุณทำอะไร
ถ้าพบ Theme ที่ได้รับความนิยมสูงสุด นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่คู่แข่งของคุณจะเล็ง Premium Theme นั้นสำหรับเว็บไซต์ของพวกเขาเช่นกัน ผลที่ได้คือ แม้จะเปลี่ยนสีและตัวอักษร ก็ยังดูเหมือนกันจนน่าอึดอัด
WordPress Theme ที่ขายดีที่สุดใน ThemeForest อย่าง Avada ที่ได้ขายไปแล้วกว่า 200,000 ครั้ง นั่นหมายความว่า มีอีกหลายเว็บไซต์ที่ใช้ Theme นี้ เราจึงไม่แนะนำให้เลือกใช้ Theme ที่คล้ายกันนี้
ข้อสำคัญคือ ถ้าคุณไม่ดูเว็บไซต์ของคู่แข่ง คุณอาจจะได้งานที่เหมือนกับเขาก็เป็นได้
4. คุณต้องการอะไรจาก Theme
Theme ที่เลือกใช้จำเป็นต้องเหมาะกับรูปแบบเว็บไซต์ อย่าเลือกแต่สิ่งที่คุณมองแล้วชอบ จาก Theme หลายพันที่มีให้เลือก ถ้าลองแล้วไม่เหมาะอย่าพยายามปรับเว็บไซต์เข้าหา Theme แต่ให้เปลี่ยนไปใช้ Theme ที่เหมาะกับเว็บไซต์ดีกว่า
5. ให้แน่ใจว่ามีตัวเลือกการปรับแต่งที่ต้องการ
อย่างที่ได้บอกไปว่า “ยิ่งน้อยยิ่งดี” ฉะนั้นเลือกให้ดีๆว่า WordPress Theme นั้นจะสามารถปรับให้อยู่ในรูปแบบที่เข้ากับสีและตัวอักษรที่เลือกไว้หรือไม่
บาง Theme จะทิ้งให้คุณเคว้งว่าจะเริ่มยังไงต่อดี ในขณะที่บาง Theme จะแสดงให้เห็นเลยว่าตัวมันยังปรับอะไรได้อีกบ้าง
แหล่ง WordPress Theme
เมื่อรู้แล้วว่าต้องมองหาอะไร คราวนี้มาดูกันว่าจะไปหาได้จากที่ไหนบ้าง
1. ThemeForest
ThemeForest เป็นแหล่งข้อมูล Theme ขนาดใหญ่ ทั้งสำหรับ WordPress และระบบจัดการเนื้อหาอื่นๆ กว่า 6,000 Premium Theme แต่ละอันจะมี Demo site, รายการคุณสมบัติ ต่างๆ และส่วนช่วยเหลือในการสร้างเว็บไซต์ และยังสามารถรู้ได้ด้วยว่ามีคนซื้อ Theme นี้ไปเท่าไหร่แล้ว จะได้ทราบว่าเราได้ซื้อสิ่งใหม่ๆและโดดเด่น หรือสิ่งที่เสี่ยงจะไปซ้ำกับสิ่งที่คนอื่นทำไว้แล้ว
2. WordPress Theme Directory
ที่นี่ มีให้เลือกทั้งแบบฟรีและ Premium และยังเป็นเจ้าของโดย WordPress เองอีกด้วย Theme บางตัวเป็นแบบเรียบง่ายสำหรับเว็บไซต์แบบ Blog หรือโบรชัวร์ประกาศ ซึ่งสามารถปรับตามแบบที่ชอบและปรับลด Feature ที่รกและฟุ่มเฟือยออกไปได้
สำหรับแหล่งข้อมูลนี้มี Theme เฉพาะของ WordPress กว่า 2,000 แบบ ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับนำมาปรับใส่ใน Plug-in ฟรี
3. Thrive Theme
Thrive Theme จะมีรูปแบบการใช้งานที่ค่อนข้างแตกต่าง แต่นั่นอาจเป็นเป้าหมายอันดับ 1 ในการทำเงินจากช่องทางออนไลน์ผ่าน WordPress Theme ก็ได้ โดยตัวข้อมูลนี้ได้ออกแบบ “Conversion Focused Theme” ที่ปรับส่วนต่างๆบนหน้าเว็บไซต์ได้ตามต้องการ นอกจากจะออดมาดูดีแล้วยังโน้มน้าวให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ยินดีจ่ายหรือสมัครให้กับเว็บของคุณด้วย
ด้วยการใช้งานที่แตกต่างไปจาก ThemeForest แนะนำให้กดติดตาม โดยอาจจะเลือกแบบพื้นฐานรายเดือนเพื่อเข้าถึง Theme และ Plugins ทั้งหมดดีกว่าเลือกซื้อแค่ Theme เดียว ที่นี่เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบทดลองออกแบบอะไรที่แปลกออกไป เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการทำเงินจากเว็บไซต์สูงสุด
ประเภทของ WordPress Theme
คุณสามารถพบ WordPress Theme ได้อย่างหลากหลายจากตัวเลือกด้านบน ที่ช่วยย่อขอบเขตการค้นหาลงได้บ้าง ในส่วนของ Premium Theme มักจะจัดหมวดหมู่เพื่อให้หาสิ่งที่คุณต้องการได้ง่ายขึ้น รายละเอียดแต่ละหมวดหมู่จะอธิบายได้ตามนี้
WordPress Blog Themes: Platform ที่ออกมาจะเหมาะสำหรับสร้าง Blog ซึ่งสามารถเลือก Theme สำหรับการทำได้ Blog ได้มากมายจากหมวดนี้ รวมถึง Theme อเนกประสงค์สำหรับทุกการใช้งานก็มักปรากฏที่นี่เช่นกัน แนะนำให้ลองเลือกงานออกแบบสไตล์นิตยสาร เพราะสามารถนำเสนอเนื้อหาที่คล้ายกันได้ในรูปแบบใหม่ๆที่โดดเด่นและทันสมัยกว่า
WordPress Photography Themes: เป็นที่นิยมกันในหมู่ช่างภาพสำหรับการโชว์ผลงาน เพราะมาพร้อมระบบการสร้าง Portfolio ที่เหมาะนำไปใช้กับนักออกแบบหรืองานสร้างสรรค์ต่างๆได้เช่นกัน
All-purpose Themes: ทุกวันนี้ Theme ส่วนมากออกแบบมาเพื่อ “ทุกสิ่งแด่ทุกคน” เช่นเดียวกับเครื่องมือสร้างเว็บไซต์ภายในชุดออกแบบนี้ ใน Theme ชุดนี้มักจะประกอบไปทั้ง blog และ Portfolio รวมถึงคุณสมบัติอื่นๆ เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการปรับเปลี่ยนอย่างคล่องตัว แต่ก็ต้องระวังที่จะเกิดความสับสนในการใช้งานได้
WordPress Shop Themes: มักจะออกแบบ Platform สำหรับ eCommerce อย่างเช่น Shopify ซึ่งเป็นแบบที่คุณต้องการอย่างมากในการทำการแลกเปลี่ยนออนไลน์
ถ้าคุณเลือก WordPress เป็น Platform ในการสร้างเว็บไซต์ของคุณ ลองหา WordPress Theme ที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เพราะนี่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเว็บไซต์ นอกจากนี้ควรประบแก้ Theme ใหม่ๆอยู่เสมอเมื่อเวลาผ่านไป คราวนี้.. ลองเข้า ThemeForest หรือ Thrive Theme และดูว่ามีตัวเลือกมากมายแค่ไหนให้คุณเลือกใช้